ปี 2021 ปีนี้ ก็คงเป็นอีกปีที่หลายคนอาจจะต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้าน ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมคลายเหงาและสร้างความบันเทิงก็คงหนีไม่พ้นการเปิด Streaming App ต่าง ๆ เพื่อดูซีรีส์หลาย ๆ เรื่องที่น่าสนใจ โดยช่วงนี้ ซีรีส์จากฟากฝั่งญี่ปุ่นก็เริ่มกลับมาเป็นกระแสและกำลังมาแรงเป็นอย่างมาก เราจะเห็นได้ว่ามีหลายเรื่องที่กลายเป็นเทรนด์บน Social Network และเป็นที่พูดถึงของใครหลายต่อหลายคน
ทั้งคนที่เป็นคอ J-series อยู่แล้ว รวมถึงคนที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับซีรีส์แดนอาทิตย์อุทัยก็หันมาสนใจและติดตามชมซีรีส์ญี่ปุ่นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน สังเกตได้จากบรรดาแอปพลิเคชันสตรีมมิงเจ้าต่าง ๆ ได้เริ่มนำซีรีส์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาฉายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้จะมีเรื่องไหนที่ทางเราขอแนะนำว่า Must Watch บ้าง ไปเช็กลิสต์ 10 ซีรีส์ญี่ปุ่นที่แนะนำ ประจำปี 2021 พร้อมกับเรากันได้เลยครับ
หากบทความนี้ปราศจาก ALICE IN BORDERLAND ไปก็คงจะไม่สมบูรณ์ เพราะนี่คือซีรีส์ญี่ปุ่นที่รั้งกระแสความปังไปทั่วบ้านทั่วเมืองตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 จนถึงตอนนี้ กับเรื่องราวของอริสุ เรียวเฮ ที่นำแสดงโดยหนึ่งในเจ้าพ่อดาราภาพยนตร์และซีรีส์ Live Action อย่างยามาซากิ เคนโตะ ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตเฮฮาไปวัน ๆ รวมกับสองเพื่อนรัก คุราเบะ ไดคิจิ (นำแสดงโดยมาจิดะ เคตะ จาก HiGH & LOW และ Cherry Magic) และเซงาวะ โจตะ (โมรินากะ ยูคิ)
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังสนุกสุดเหวี่ยง ณ ใจกลางชิบูย่า จู่ ๆ ย่านชิบูย่าที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน กลับเหลือเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้น มิหนำซ้ำยังถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเกมต่าง ๆ ที่มีกฎว่า หากเกมโอเวอร์จะไม่มีสิทธิ์เริ่มใหม่ และความตายเท่านั้นที่จะมาเยือนแทน เรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ จนพาอริสุไปพบกับอุซากิ ยุสุฮะ (สึจิยะ ทาโอะ) สาวนักปีนเขาที่จะร่วมผจญเกมแห่งความตาย พร้อมกับหาคำตอบว่า อะไรนำพาทุกคนเข้ามาสู่แดนมรณะแห่งนี้ ใครคือเบื้องหลังโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น และจะหาหนทางออกจากฝันร้ายนี้ไปให้ได้อย่างไร
ความดีงามที่สร้างกระแสให้ ALICE IN BORDERLAND ในระดับปรากฏการณ์ได้ขนาดนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะการดำเนินเรื่องที่สุดมัน กระชับ การสร้างคาแรกเตอร์ได้น่าจดจำ แม้บางตัวละครจะมีบทบาทไม่มากเพียงไม่กี่ตอน ก็สามารถสร้างความผูกพันให้เกิดขึ้นกับคนดูได้ ด้วยปูมหลังที่น่าสนใจ แรงผลักดันในการเข้าร่วมเกม รวมถึงการดีไซน์เกมต่าง ๆ ที่ต้องเข้าร่วมก็ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี
ถึงแม้ว่า ซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังคงดำเนินไปตามสูตรซีรีส์แนว Survival ที่ต้องมีการหักเหลี่ยมเฉือนคมกันแบบถึงกึ๋น แต่ก็เพิ่มเติมเข้ามาด้วยการสร้างประเด็นที่เป็นแบบทดสอบจิตใจ และเผยธาตุแท้ของบรรดาตัวละครต่าง ๆ ที่หลายคนก็เพี้ยนหลุดโลก หลายคนก็มีเสน่ห์และความหลังชวนให้ผูกพัน พร้อมปูมหลังในการเข้าร่วมเกมมรณะที่สร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างดีเยี่ยม ผสมกับกลิ่นอายความเป็นซีรีส์สืบสวนเบา ๆ ที่จะพาเราทุกคน ร่วมกันต่อจิ๊กซอว์เพื่อไขปริศนาของแดนมรณะนี้ไปอย่างลุ้นระทึกจนพลาดไม่ได้แม้แต่ตอนเดียว ซึ่งแน่นอน เมื่อกระแสดีขนาดนี้ ซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้มีประกาศอย่างเป็นทางการออกมาแล้วว่ามีซีซั่นสองสานต่อความมันอีกแน่นอน
"โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน เด็ก ๆ ก็ไม่ซุกซน เราทุกคนชอบมาโรงเรียน" คำกล่าวที่แสนจะคุ้นเคยนี้ไม่สามารถใช้ได้เลยกับซีรีส์ระทึกขวัญในรั้วโรงเรียนอย่างเรื่อง HOW TO ELIMINATE MY TEACHER เชื่อว่าในช่วงชีวิตช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะวัยเรียน เราต่างต้องพบเจอกับผู้สั่งสอนวิชาความรู้อย่างคุณครูมากหน้าหลายตา และบางคนในนั้นก็อาจเป็นครูที่รู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย จนกลายเป็นไม่อยากเรียนวิชากับครูคนนั้นไป เช่นเดียวกับนักเรียนมัธยมปลาย ปี 3 ห้อง D ของโรงเรียนระดับท็อปแห่งหนึ่ง ที่ต่อต้านการมาเยือนของโยชิซาวะ สึเนโอะ คุณครูคนใหม่ ที่นำแสดงโดยทานากะ เค นักแสดงมากฝีมือ ซึ่งนักเรียนกลุ่มนี้ต่างก็ช่วยกันหาทุกวิถีทางที่จะกำจัดครูโยชิซาวะออกไปให้ได้
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ ตัวครูโยชิซาวะ ที่ไม่ว่าจะโดนกลั่นแกล้งจากบรรดานักเรียนหัวโจกรุนแรงแค่ไหน (โดยหลายครั้งก็กะเอาให้ถึงตาย) เขาก็ไม่เคยสูญเสียรอยยิ้มไปเลยสักครั้ง โดยที่หารู้ไม่เลยว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นมีความลับดำมืดชวนขนลุกอยู่ ซึ่งคุณครูผู้นี้ก็พร้อมแล้วที่จะสอนวิชาชีวิตให้กับนักเรียนที่ยังไม่ประสาต่อโลกความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายอย่างถึงพริกถึงขิง ชนิดต้องจดจำเป็นบทเรียนไปชั่วชีวิต
นายตำรวจหนุ่มยุคปัจจุบัน ซาเอกุสะ เคนโตะ (ซาคากุจิ เคนทาโร่) ได้พบกับวิทยุสื่อสารปริศนาที่ทำให้เขาสามารถสื่อสารกับโอยามะ ทาเคชิ (คิตามุระ คาซุกิ) ตำรวจหนุ่มใหญ่ในอดีตได้ และนายตำรวจทั้งสองก็ตัดสินใจติดต่อกันข้ามกาลเวลาเพื่อไขปริศนาของคดีที่ยังปิดไม่ลง
หากใครที่ถวิลหาซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวนเจ๋ง ๆ สักเรื่อง SIGNAL ก็คือหนึ่งในเรื่องที่ห้ามพลาดด้วยประกาศทั้งปวง เพราะเรื่องนี้สามารถฝ่ากระแสแรงกดดันจากความเยี่ยมยอดของซีรีส์ต้นฉบับของเกาหลี จนหลายคนให้การยอมรับว่าเป็นการรีเมคที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยจำนวนตอนที่น้อยกว่าฉบับเกาหลี บางคดีก็ถูกตัดออกไป แต่สิ่งที่ได้มาก็คือ ความกระชับและความลุ้นระทึกอย่างต่อเนื่อง บวกกับเสน่ห์ของซีรีส์แนวสืบสวนที่เป็นแนวถนัดของฝั่งญี่ปุ่นอยู่แล้ว รวมถึงพลังดาราและฝีไม้ลายมือของนักแสดงทุกคนทั้งตัวหลักและสมทบ ก็ยิ่งส่งให้ SIGNAL เป็นซีรีส์ที่ไม่สามารถละสายตาได้เลยแม้แต่น้อย
ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่เอกอุด้านการนำเสนอซีรีส์แนวสืบสวน ซึ่งซีรีส์ส่วนใหญ่ก็จะโฟกัสไปที่การลงพื้นที่ไล่ล่าคนร้ายแบบสุดมัน แต่ไม่ใช่กับเรื่อง Emergency Interrogation Room ที่นำแสดงโดยอามามิ ยูกิ รับบทเป็น มาคาเบะ ยูกิโกะ เพราะสิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือการหยิบเอาการเจรจาของจำรวจฝ่ายเจรจาเพื่อคาดคั้นคำสารภาพหรือสิ่งที่ผู้ต้องหาเก็บงำไว้ในใจให้คลี่คลายออกมา
อย่างที่เกริ่นไปว่าเรื่องนี้มีแกนหลักอยู่ที่การเจรจาหลังจับคนร้ายได้แล้ว เพราะฉะนั้น ความตื่นเต้นจึงอยู่ที่การใช้จิตวิทยาระหว่างผู้สอบสวนกับผู้ถูกสอบสวนแบบเน้น ๆ ให้เราคนดูได้ร่วมลุ้นและสังเกตทุกพฤติกรรมของคนร้ายภายใต้บรรยากาศอันตึงเครียดในห้องสอบสวนที่ล้อมไปด้วยกำแพงหนาทึบที่สามารถจบได้ทั้งพบกับความดำมืดในใจของคน ๆ หนึ่ง หรือกระทั่งเหตุผลสุดสะเทือนใจที่เปลี่ยนให้คนดีคนหนึ่งต้องยอมมือเปื้อนเลือด ขณะเดียวกัน เมื่อเรื่องราวยิ่งผ่านไป เราก็ยิ่งได้ค่อย ๆ กระเทาะเปลือกความลับในใจของมาคาเบะ นักเจรจามือฉมังไปด้วยเช่นกัน
ลำพังแค่ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าเอ่ยชื่อ I Give My First Love To You หลายคนที่เป็นสายหนังญี่ปุ่นก็คงจะถึงบางอ้อ เพราะ Secret Unrequited Love คือละครที่สร้างจากหนังรักวัยเรียนในตำนานของญี่ปุ่นเรื่องนี้นี่เอง แม้จะสร้างจากเรื่องราวเดียวกัน แต่ระหว่างการเดินทางของคาคิโนะอุจิ ทาคุมะ (โนมุระ ชูเฮ) และทาเนดะ มายุ (ซากุราอิ ฮินาโกะ) ก็มีบทพิสูจน์รักแท้ภายใต้เงื่อนไขเวลาที่มีอยู่จำกัดด้วยโรคหัวใจของฝ่ายชาย อีกทั้งบริบทในละครที่บ้างก็ถูกตีความใหม่ บ้างก็ขยายความเพิ่มเติม ทำให้อรรถรสที่ได้แตกต่างออกไปจากฉบับภาพยนตร์
เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จึงเหมาะกับทั้งคนที่คิดถึงเรื่อง I Give My First Love To You และคนที่ต้องการสัมผัสกับความดราม่าในชีวิตที่มาพร้อมกับความรักที่ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยไปด้วยทุกตอนตามแบบฉบับญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อมานักต่อนัก Secret Unrequited Love ก็คือซีรีส์ที่เล่นกับอารมณ์และบีบคั้นหัวใจจนกระทั่งน้ำตาไหลได้เป็นอย่างดี
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังพบเจอกับปัญหาระหว่างวัย โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว จากตอนเด็ก ๆ ที่เราเคยสนิทกับพ่อแม่มาก ชวนคุย ชวนเล่นกันได้ทุกเรื่อง จนกระทั่งเมื่อเติบโตและอายุของพ่อแม่ก็เริ่มมากขึ้น ได้พบเจอเรื่องราวภายนอกและการใช้ชีวิตที่ต่างกันจนสร้างกำแพงและช่องว่างระหว่างกันขึ้นมา ทำให้บทสนทนาและความเข้าใจในตัวของกันและกันลดน้อยถอยลงทุกที ซีรีส์จาก Netflix เรื่อง FINAL FANTASY XIV: Dad of Light อาจเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะทำให้ได้นึกทบทวนถึงความสนิทแนบแน่นระหว่างเรากับพ่อแม่ในวันวาน จนกระทั่งสามารถเข้าไปเริ่มบทสนทนา และนำเขาเข้ามาสู่ชีวิตได้เหมือนเดิม
ความสวยงามของซีรีส์เรื่องนี้คือ การที่นำเอาเกมมาเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ที่พอลูกโตขึ้นมีความคิดว่าพ่อของตัวเองนี่เข้าใจยากเสียเหลือเกิน อยากทำอะไรก็ทำ อยากเลิกอะไรก็เลิกโดยไร้การบอกกล่าว ซึ่งถ้าจะให้ว่ากันตามตรง FINAL FANTASY ก็ดูจะเป็นอะไรที่ดูจะฉูดฉาด ไม่เข้ากับวัยผู้ใหญ่ที่ผ่านการสัมผัสกับอะไรแบบนี้มาไม่น้อย
แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อทางผู้เป็นพ่อเริ่มเปิดใจเล่น (เปรียบได้กับการเริ่มเปิดใจยอมรับในตัววิถีของลูก) ก็เป็นโอกาสดีจากการเล่นเกมที่ไม่ต้องเปิดเผยหน้าตาหรือชื่อจริงในการทำความเข้าใจคนที่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูเรามาใหม่อีกครั้ง ซึ่งในแต่ละตอนจะพาคนดูไปทำความเข้าใจความคิดของคนเป็นพ่อ คำสอนของพ่อที่ช่วยให้ลูกข้ามผ่านอุปสรรคในวันที่คุยและปรึกษากันน้อยลง โดยทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเรื่องก็นำเสนอได้อย่างละมุนละไม ในวันที่การคุยกับพ่อแม่เป็นเรื่องยากขึ้นทุกที ลองเปิดดูเรื่องนี้ แล้วกำแพงและรอยแยกระหว่างกันจะหดสั้นลงไปถนัดตา
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดระหว่างวาตานาเบะ คุมิโกะ (อิชิบาชิ นัทสึมิ) นักศึกษาชั้นปี 1 ที่เดินทางจากบ้านนอกมาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยยังต่างเมือง และวาตานาเบะ เคนอิจิ (นาคามุระ อาโออิ) รุ่นพี่ร่วมคณะที่ทำตัวเป็นกันเอง และเข้ามาใช้ชีวิตในห้องของคุมิโกะตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จุดเริ่มต้นที่ออกจะแปลก ๆ แบบนั้นกลับไม่ใช่ปัญหา เมื่อความสัมพันธ์ของคนทั้งสองได้พัฒนาไปจนถึงขั้นคบหาดูใจและแต่งงาน ทว่า ปัญหาของคู่รักคู่นี้คือ ฝ่ายสามีไม่สามารถร่วมรักใต้ผ้าห่มกับภรรยาได้
นับเป็นปัญหาโลกแตกที่สร้างความขุ่นข้องหมองใจระหว่างคู่รักมานักต่อนักว่า เมื่อรักกันก็ย่อมต้องร่วมรักกัน อย่างนั้นใช่หรือเปล่า หากวันใดที่อีกฝ่ายมีปัญหาจนไม่สามารถทำแบบนั้นได้ หมายความว่า เส้นทางความรักนั้นจะต้องสิ้นสุดลงอย่างนั้นหรือ ซึ่ง My Husband Won't Fit ก็หยิบยกประเด็นนี้มาบอกเล่าและตั้งคำถาม ชวนคนดูขบคิดได้อย่างชาญฉลาดว่า เมื่อหากถึงจุดหนึ่งที่ความรักไม่ใช่แค่ให้เราได้สวมกอดหรือจับมือกันเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นเราให้ทำในสิ่งที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมแต่กลับไม่สามารถทำได้ คู่รักจะแก้โจทย์ชีวิตนี้อย่างไร จะยอมรับได้หรือไม่ หากคนที่เรารักไปมีความสัมพันธ์กับใครอีกคน หรือจะคุยกันอย่างจริงจังเพื่อหาจุดกึ่งกลางที่ช่วยประคับประคองความรักให้ยืนยาวต่อไป ด้วยการดำเนินเรื่องที่เป็นไปแบบสโลวไลฟ์ ตามสไตล์ซีรีส์ฟีลกู้ดญี่ปุ่นที่มีฉากหลังเป็นต่างจังหวัด อยากให้ลองเปิดเรื่องนี้ขึ้นมาดู เพราะอาจจะช่วยจุดประกายความคิดในการหาจุดพอดีของความรัก และช่วยถอดสมการความรักเท่ากับมีเซ็กส์เท่านั้นจริงหรือ
เมื่ออิเอจิ ฮิซาชิ (คิมุระ ทาคุยะ) นักธุรกิจหนุ่มอัจฉริยะฟื้นขึ้นมาพร้อมความจำบางส่วนขาดหายไปและกุญแจปริศนาทั้งสิบดอก พอเขากลับไปที่บ้าน ก็พบว่าตัวเองมีอาการประหลาด เมื่อสิ่งที่มองเห็นคือใบหน้าภรรยาและลูกถูกหน้ากากสวมทับเอาไว้
เพียงแค่มีคำว่า "หน้ากาก" ก็คงพอเดาได้ไม่ยากว่า I'm Home ต้องเล่นประเด็นความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างแน่นอน ในยุคที่ความสัมพันธ์ใด ๆ เกิดขึ้นและเป็นไปอย่างฉาบฉวย ไม่มีทางเลยที่เราจะได้สัมผัสเนื้อแท้ของคนสักคนแม้กระทั่งคนรักหรือคนในครอบครัว ซึ่งสำหรับซีรีส์เรื่องนี้้ถือว่าตอบโจทย์อย่างมากสำหรับวัยทำงาน ที่ถึงแม้จะปรารถนาดี ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ หนักเอาเบาสู้ หวังเพียงให้ครอบครัวได้สุขสบาย มีกินมีใช้ ไม่เดือดร้อน โดยที่ในหลายครั้งก็ทำให้หลงลืมคิดถึงคนที่รอเราอยู่ที่บ้าน พอกลับจากที่ทำงานก็ไม่แม้แต่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหรือความรู้สึกของคนที่อยู่ข้างหลัง กลายเป็นว่าความรักนั้นเป็นไปเพียงเปลือกนอก จากคนรักเริ่มกลายเป็นคนแปลกหน้าเข้าไปทุกขณะ ทำให้ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกหรือมีสีหน้าเวลามองตากันเป็นอย่างไร ราวกับสวมหน้ากากทับเอาไว้ตลอดเวลา ซีรีส์ I'm Home เรื่องนี้จึงเหมือนเป็นค้อนช่วยกระเทาะเปลือกหน้ากาก ดึงเราให้หันมาสนใจคนในครอบครัวให้มากขึ้น และเปิดใจทำความเข้าใจให้ถึงเนื้อแท้ของกันและกันได้มากกว่าเดิม
ถ้าถามว่าซีรีส์วายญี่ปุ่นเรื่องไหนที่ทำเอาคนไทยฟินตัวแตก Cherry Magic! ก็คงเป็นอันดับแรก ๆ ที่จะผุดขึ้นมาในความคิด ถามว่าฮิตแค่ไหน ดูง่าย ๆ ก็มีโฆษณาจัดเต็มตามแนวรถไฟฟ้า ติดเทรนด์ทวิตแทบทุกครั้งที่มีตอนใหม่ หันหน้าไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง
Cherry Magic! ไม่ใช่ซีรีส์วายที่เน้นขายฉากจูบ แต่เป็นซีรีส์ที่ครบสูตรตามแบบฉบับโรแมนติก-คอเมดี้อย่างไม่ขาดตรงบกพร่องตลอดตั้งแต่ตอนแรกจนจบ เราจะได้เห็นพัฒนาการความรักระหว่างอาดาจิ คิโยชิ (อาคาโซ เอจิ จาก Hey Teacher, Don't You Know?) และคุโรซาวะ ยูอิจิ (มาจิดะ เคตะ จาก ALICE IN BORDERLAND) อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีฉากเซอร์วิสน่ารัก ๆ ชวนจิ้นฟินจิกหมอน ให้ได้ใจเต้นอยู่ตลอดทาง แค่กิมมิกความแฟนตาซีที่แฝงอยู่ในเรื่อง อย่างความสามารถในการอ่านใจเมื่อได้สัมผัสตัวอีกฝ่าย แค่นี้ก็ครบองค์ประกอบที่จะทำให้ฟินตัวแตกได้อย่างไม่ยากเย็น ใครกำลังเหนื่อย ๆ เครียด ๆ อยากดูซีรีส์ฟีลกู้ดที่รับประกันว่าจะทำให้ยิ้มได้ Cherry Magic! คือเรื่องนั้นที่คุณกำลังตามหา
"ฟินไปสามวันเจ็ดวัน" "ฟินแบบไม่บันยะบันยัง" นี่คงเป็นนิยามที่ดีที่สุดที่จะมอบให้ซีรีส์เรื่อง Coffee and Vanilla แล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่ชิโรกิ ริสะ (ฟุคุฮาระ ฮารุกะ) สาวใสวัยยี่สิบปีที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์รักเลยสักครั้ง ได้มาเจอกับนักธุรกิจหนุ่มพราวเสน่ห์ ฟุคามิ ฮิโรโตะ (ซากุราดะ โดริ) เพียงแค่วันแรกที่สบตา หัวใจทั้งสองก็สปาร์คจอยต่อกัน และหลังจากนั้นก็คือฉากสวีทที่ชวนฟินเหลือหลาย ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่อยากทะลุจอเข้าไปเป็นริสะเพื่อจะได้อยู่ในอ้อมอกของคุณฟุคามิ
Coffee and Vanilla คือซีรีส์ที่ดัดแปลงจากมังงะที่ถูกสร้างมาเพื่อเซอร์วิสฉาก Make Love ระหว่างพระเอกนางเอกอย่างแท้จริง ทุกสิ่งที่ต้องการในซีรีส์แนวเซอร์วิสถูกรวมเอาไว้ในเรื่องนี้อย่างครบถ้วน นอกจากฉากฟินจิกหมอนที่มาแทบจะทุกนาที ยังผสมไปด้วยฉากอิโรติกเบา ๆ ชวนให้ใจเต้นอยู่เป็นระยะ เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน ย่อยง่าย เพียงแค่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความรักหวาน ๆ ขม ๆ ระหว่างริสะและฟุคามิ ก็จะเข้าถึงนิยามของคำว่า "ฟิน" ที่แท้จริงได้อย่างไม่ยากเย็น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือ ซีรีส์ญี่ปุ่นหลากหลายแนวที่เราคัดสรรมาแล้วว่าเป็นซีรีส์ที่ดีครบรส ทั้งแนว Survival ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ แนวโรแมนติก ให้คุณได้ฟินจิกหมอน แนวสร้างแรงบันดาลใจ เพิ่มกำลังใจให้ชีวิต และแนวสืบสวนสวนที่ให้คุณได้ใช้สมองขบคิดไขปมต่าง ๆ และลุ้นสุด ๆ ในทุกตอน ลองเปิดดูสักเรื่อง ไม่แน่ว่าคุณอาจจะเจอซีรีส์เรื่องโปรดเรื่องใหม่ที่จะเข้าไปเป็นหนึ่งในซีรีส์สุดที่รักในใจอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ครับ
ของใช้ในบ้าน
เครื่องใช้ไฟฟ้า, PC, กล้อง
เครื่องสำอาง, สกินแคร์
อาหาร, เครื่องดื่ม
เครื่องใช้ในครัว
แฟชั่น
รองเท้า
นาฬิกา, เครื่องประดับ
เด็ก
เฟอร์นิเจอร์
งานอดิเรก
กิจกรรมกลางแจ้ง
DIY, อุปกรณ์
กีฬา
สัตว์เลี้ยง
หนังสือ, CDs, DVDs
เกม
รถยนต์, รถจักรยานยนต์
ของขวัญ
อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน, รีโนเวท
สมาร์ทโฟน, มือถือ
เครือข่ายมือถือ
การลงทุน
เครดิตการ์ด, การกู้ยืม
ประกัน
เพลง
แอปพลิเคชัน